ไฟหน้ารถ (Head Lamp)
รถยนต์ทั่วไปไฟหน้าจะแบ่งตัวโคมเป็น 2 แบบ คือ
• แบบเปลี่ยนหลอดไม่ได้ หรือที่เรียกว่า “Sealed Beam Head Lamp” ลักษณะของโคมไฟแบบนี้ตัวจานสะท้อนแสงหลอด และเลนส์ด้านหน้าจะยึดติดสนิทเป็นชิ้นเดียวกัน ตัวหลอดไม่สามารถเปลี่ยนได้
ข้อดี คือ จานสะท้อนแสงจะไม่เกิดการขุ่นมัว เพราะตัวโคมมีการซีลปิดสนิทฝุ่นผงไม่สามารถเล็ดลอดเข้าไปได้
ข้อเสีย คือ เวลาหลอดขาดต้องซื้อเปลี่ยนใหม่ทั้งโคมนิยมใช้ในรถยนต์รุ่นเก่า
• แบบเปลี่ยนหลอดได้ “Changeable Head Lamp” ลักษณะคล้ายๆ กับแบบแรกแต่ตัวหลอดไฟที่อยู่ภายในสามารถถอดออกมาเปลี่ยนใหม่เมื่อใช้การไม่ได้
ข้อเสีย คือ เมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่งจะมีสิ่งสกปรกเล็ดลอดเข้าไป ทำให้ตัวจานฉายหมอกลงไม่แจ่มใสเหมือนของใหม่
หลอดทั่วไปที่มีใช้อยู่ในปัจจุบัน สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ตามลักษณะการทำงาน ได้แก่
• หลอดความร้อน “Incandescent Bulb” ทำงานโดยปล่อยให้กระแสไฟไปยังไส้หลอด (Filament) ซึ่งทำจากลวดทังสเตน เช่นเดียวกับหลักการเตาไฟฟ้าแบบขดลวด และโดยปกติ ภายในหลอดชนิดนี้จะเป็นสูญญากาศ เพื่อป้องกันการเผาไหม้จนเกิดความร้อนสูงเกินควบคุมหรืออาจจะบรรจุก๊าชเฉื่อย เช่น ก๊าซอาร์กอน ไว้เพื่อช่วยลดคราบเขม่าที่เกิดจากโลหะทังสเตนมาจับผิวด้านใน
• หลอดฮาโลเจน “Halogen Bulb” คือ หลอดที่ไฟถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้มีความสามารถในการรักษาความสว่างเอาไว้ได้ จนหมดอายุการใช้งาน ภายในบรรจุด้วยก๊าซฮาโลเจนเพื่อให้เกิดวงจรฮาโลเจน (Halogen Cycle) แต่อนุภาคไฟฟ้าที่รวมตัวกันนี้ เป็นสารกึ่งโปร่งแสงจึงสว่างน้อยมาก การทำให้เกิดวงจรฮาโลเจนนี้จะต้องรักษาอุณหภูมิของหลอดแก้วให้คงที่ประมาณ 250 องศาเซลเซียส จึงจำเป็นต้องใช้แก้วชนิดพิเศษในการผลิตหลอดแบบนี้
• หลอด HID เป็นของใหม่ล่าสุด รู้จักกันในนามของหลอด “ซีนอน” (Xenon) ภายในบรรจุก๊าซนีออน ทำให้เกิดแสงสว่างได้ด้วยการผ่านกระแสไฟแรงสูง จากอุปกรณ์ช่วยในการเพิ่มกระแสไฟ 12 โวลท์ให้สูงขึ้นไป ถึง 20,000-25,000 โวลท์ ไปยังขั้วของตัวนำที่ทำจากโลหะทังสเตน ซึ่งจะทำให้เกิดการกระโดดของอิเล็คตรอนระหว่างขั้วของตัวนำคล้ายๆ กับการสปาร์คไฟที่เขี้ยวหัวเทียน อิเล็คตรอนนี้จะทำปฏิกิริยากับก๊าซซีนอนที่ถูกบรรจุอยู่ภายในหลอดแก้วทำให้เกิดแสงสว่างขึ้น
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลอดไฟรถยนต์
หลอดไฟหน้าจะมีอยู่หลายลักษณะ เช่น H1(รถยุโรปและรถญี่ปุ่นรุ่นใหญ่), H2, H3(ใช้ติดเพิ่มในไฟสปอร์ตไลท์), H4,H7, HB3, HB4 ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะของขั้วหลอด ที่นิยมใช้กันทั่วไปในประเทศไทยจะเป็น H4 เนื่องจากมี 2 ไส้ คือไฟสูง-ต่ำ อยู่ในหลอดเดียวกัน อักษร K ที่ปรากฎบนแพคเกจ เช่น 4000K, 5000K นั้น ในที่นี้ เป็นตัวย่อมาจากคำว่า KELVEN คือ ค่าอุณหภูมิ สีของแสง (color temperature) แต่ไม่กี่ยวกับความสว่างหลอดไฟรถยนต์จะวัดความสว่างกันเป็น Lumen ถ้าหลอดธรรมดาทั่วไป กินไฟมากหรือวัตต์มากก็จะสว่างมาก
วัตต์ของหลอดไฟรถยนต์ที่ใช้อยู่โดยทั่วไป
• ไฟเลี้ยวด้านข้าง ไฟส่องป้ายทะเบียน ไฟส่องสว่างในรถ ใช้อยู่ที่ประมาณ 5 - 10 วัตต์
• ไฟหน้า ใช้อยู่ที่ 60/55 วัตต์
• ไฟถอย ไฟเลี้ยวหน้าหลัง ใช้อยู่ที่ 21 หรือ 23 วัตต์
• ไฟเบรก ไฟหรี่ ใช้อยู่ที่ 21/5 หรือ 23/8 วัตต์
• ไฟสปอร์ตไลท์ หรือไฟตัดหมอก มาตรฐานอยู่ที่ 55 วัตต์
ข้อสังเกตุและคำแนะนำในการเปลี่ยนหลอดไฟรถยนต์เมื่อหลอดขาด
หากหลอดไฟเพียงข้างใดข้างหนึ่งขาด แนะนำให้เปลี่ยนทีเดียวทั้งสองหลอด เนื่องจากการกินกระแสไฟของทั้งสองข้างที่ ไม่เท่ากัน จะทำใหแสงที่เปล่งออกมาจากโคมทั้งสองจะสว่างไม่เท่ากัน ดังนั้นสำหรับหลอดข้างที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ เราอาจจะเก็บไว้เป็นหลอดสำรองแทน
การบำรุงรักษาระบบส่องสว่าง
จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุส่วนมาก มักเกิดขึ้นในที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน คือช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ดังนั้น กฎหมายกำหนดให้เปิดไฟใหญ่ได้ในกรณีที่มองไม่เห็นสิ่งต่างๆ หรือเห็นได้ในระยะ 150 เมตร เพื่อทำให้เรามองเห็นทาง และยังทำให้รถคันอื่นมองเห็นเราด้วย การเปิดไฟหรี่ที่ไฟหน้าในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำ และควรหมั่นสังเกต ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่างทั้งระบบและไฟสัญญาณต่างๆ เช่น ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานครบทุกดวง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และหากโคมไฟสกปรกก็ควรทำความสะอาดเพื่อทำให้แสงสว่างของหลอดไฟออกมาได้เต็มที่ ในกรณีที่พบกับทัศนะวิสัยในการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน ก็ควรเปิดไฟใหญ่เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน
อัพเดทข่าวสารผ่านทาง LINE
ไม่พลาดทุกโปรโมชั่นสุดคุ้มให้คุณได้รับทราบ
Add Friend ที่ ID : @masterusedcar