ยางรถยนต์เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมรถยนต์ของเราไว้กับโลก (พื้นถนน) แถมยังต้องแบกรับทั้งน้ำหนักตัวรถ-เครื่องยนต์ ที่มีสูงกว่าน้ำหนักยางอย่างน้อย 50 เท่า ดังนั้นเราจึงควรเอาใจใส่ และเลือกยางที่เหมาะสมกับสภาพการใช้งานของแต่ละท่าน วันนี้ “รู้ก่อนเหยียบ” จึงขอนำทุกท่านมารู้จักกับเจ้ายางรถยนต์ให้มากขึ้น เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกยางรถยนต์ของคุณชุดต่อไป
ปกติยางรถยนต์ที่ติดรถมาจากโรงงานแต่ละยี่ห้อรุ่นนั้น เป็นยางที่เหมาะสมกับการใช้งาน ที่ผ่านการทดสอบอย่างละเอียดของผู้ผลิตรถยนต์รายนั้นมาแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผู้ขับขี่แต่ละท่าน ย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะต้องการสมรรถนะในการเกาะถนนที่ดีขึ้นยามใช้ความเร็วสูง หรือต้องการความนุ่มนวลมากกว่าปกติ จึงเป็นที่มาของการเลือกชนิด-ขนาดยางให้เหมาะสม และตรงกับการใช้งานของตนเอง
ทั้งนี้การเปลี่ยนยางที่ขนาดผิดเพี้ยนแตกต่างไปจากเดิมนั้น มีสิ่งที่ต้องคำนึงถึง อยู่นั่นก็คือความสามารถในการรับน้ำหนัก ซึ่งจะต้องใกล้เคียงหรือสามารถทำได้ดีกว่าเดิม นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิมด้วย
ผลเสียจากการเปลี่ยนขนาดยางผิดขนาด
- เล็กไป ความสามารถในการรับน้ำหนักลดลง สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
-ใหญ่ไป ยางเสียดสีกับส่วนหนึ่งส่วนใดของรถ พวงมาลัยหนักขณะใช้ความเร็วต่ำ มาตรวัดความเร็วคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง
ลักษณะของดอกยางรถยนต์แต่ละประเภท
-ดอกยางแบบสวนทาง (Dual) ลักษณะค่อนข้างเป็นดอกละเอียด เน้นความนุ่มสบาย มีเสียงค่อนข้างเงียบเมื่อสัมผัสพื้นถนน แต่ดอกยางประเภทนี้ไม่เหมาะกับขาซิ่ง เท้าหนัก เพราะก็มักมีอาการโยนตัวของรถเป็นของแถมมาด้วย แต่มีข้อดีที่เวลาสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร สามารถสับเปลี่ยนกันได้ทุกตำแหน่ง
-ดอกยางแบบหมุนไปทางเดียว (Rotation) ดอกยางลักษณะนี้ มีประสิทธิภาพ ในการรักษาสมดุลของรถในช่วงความเร็วสูงได้อย่างยอดเยี่ยม รีดน้ำได้ดี มีประสิทธิภาพในการยึดเกาะ บนถนนมากกว่าดอกยางแบบสวนทาง ดอกยางแบบหมุนทิศทางเดียวนี้ จะมีลูกศรเพื่อบอกทิศทางการหมุนของยางมาด้วย เมื่อต้องสลับยางต้องดูทิศทางของลูกศรให้ถูกต้อง ดอกยางมีลวดลายค่อนข้างไปทางสปอร์ต ยางหลายๆ รุ่นออกแบบได้สวยงามสะดุดตาจนถูกใจขาซิ่ง แต่ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบเมื่ออยากได้ความสวย-เกาะถนน ก็ต้องแลกมากับเสียงที่ดังขึ้นด้วย
-ดอกยางแบบไม่สมมาตร (Asysimatic) มีลักษณะเด่นคือ ให้ความมั่นใจในการยึดเกาะ และรักษาสมดุลของรถในขณะโยนตัวเมื่อเข้าโค้งได้ดี สามารถป้องกันอาการหลุดโค้งได้ดีมาก ดอกยางลักษณะ ด้านในและด้านนอก จะไม่เท่ากัน ซึ่งเหมาะกับทางโค้งมากกว่าทางตรง แต่ก็จะมีเสียงดังใกล้เคียงกับ ดอกยางแบบหมุนไปทางเดียว เช่นกัน
เทคนิคควรรู้
วิธีการอ่านข้อมูลที่แก้มยางรถยนต์
ที่แก้มยางรถยนต์ทุกเส้น จะบอกยี่ห้อ รุ่น ขนาดของยาง อัตราสูงสุดของการเติมลม ความสามารถในการรับน้ำหนัก ความเร็วสูงสุดที่สามารถวิ่งได้ สัปดาห์/ ปี ค.ศ.ที่ผลิต และข้อความเตือนเกี่ยวกับความปลอดภัยต่างๆ ตัวอย่างเช่น P195/55 R15 82T DOT 0515
- P หมายถึง ถูกออกแบบให้ใช้กับรถยนต์นั่ง
- 195 หมายถึง ความกว้างของหน้ายาง ซึ่งมีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร
- 55 หมายถึง ความสูงของแก้มยาง มีหน่วยเป็นเปอร์เซ็นต์โดยเทียบสัดส่วนกับหน้ากว้างของยาง
- R หมายถึง เป็นยางเรเดียล ซึ่งยางเกือบทั้งหมดเป็นยางเรเดียลอยู่แล้ว ในบางโอกาสอาจจะเห็นอักษรตัวอื่น ซึ่งมีอยู่น้อยมาก เช่น Dหรือ B ซึ่งแสดงถึงว่าเป็นยางแบบ bias ply tire (ห้ามใช้ยางแบบเรเดียล และ bias ply tire) ผสมกัน
- 15 หมายถึง เส้นผ่าศูนย์กลางของกระทะล้อ มีหน่วยวัดเป็นนิ้ว
- 82 หมายถึง ดรรชนีน้ำหนักบรรทุก (load index) ซึ่งกำหนด โดยผู้ผลิตยาง (Rubber ManufacturersAssociation)
- T หมายถึง ความสามารถในการทำความเร็วสูงสุด (Tire’s maximum speed rating)
- Q ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 160 กม./ชม. (99 mph)
- S ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 180 กม./ชม. (112 mph)
- T ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 190 กม./ชม. (118 mph)
- H ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 200 กม./ชม. (124 mph)
- V ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 240 กม./ชม. (149 mph)
- Z ความเร็วสูงสุดมากกว่า 240 กม./ชม. (149 mph)
- DOT 0515 หมายถึง สัปดาห์และปีที่ผลิต ตัวเลข 2 ตัวแรก 05 บอกถึงสัปดาห์ที่ทำการผลิตยางเส้นนี้คือ สัปดาห์ที่ 5 ขณะที่ตัวเลข 2ตัวหลัง 15บอกถึงปีที่ผลิต คือปี ค.ศ. 2015
ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ควรหลีกเลี่ยงใช้ยางที่ความสามารถในการทำความเร็วแตกต่างกัน ใช้ร่วมในรถคันเดียวกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก : บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด