หลายๆ ท่านคงสงสัยว่าเจ้า “หัวเทียน” มีความสำคัญอย่างไรและมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน “รู้ก่อนเหยียบ” จึงขอนำทุกท่านมารู้จักกับเจ้า หัวเทียน
“หัวเทียน” เป็นอุปกรณ์สำคัญทำหน้าที่จุดระเบิดในเครื่องยนต์เบนซิน แก๊ส และก๊าซ หัวเทียนจะรับแรงดันกระแสไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 10,000 โวลต์ ทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 องศาเซลเซียส รับแรงอัดได้อย่างน้อย 50 กก./ตร.ซม.
“หัวเทียน” ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ “หัวเทียนร้อน” เหมาะสำหรับเครื่องยนต์ที่ทำงานรอบต่ำๆ และ “หัวเทียนเย็น” ที่เหมาะสำหรับการใช้งานใน รอบสูงๆ สำหรับผู้ที่มีนิสัยเท้าหนักขับรถเร็ว
“หัวเทียน” ถูกกำหนดด้วยตัวเลข ตัวเลขยิ่งน้อยหมายถึงหัวเทียนร้อน ตัวเลขยิ่งมากหมายถึงหัวเทียนเย็น ทั้งนี้ควรเลือกใช้หัวเทียนตามมาตรฐานที่กำหนดมาจากผู้ผลิต โดยอาจจะปรับลด – เพิ่ม เบอร์ได้เล็กน้อยได้ตามนิสัยการขับขี่
ทั้งนี้ในการ จุดระเบิด จะต้องอาศัยปัจจัยประกอบหลาย ๆ ส่วนทั้ง อากาศ น้ำมัน อุณหภูมิในห้องเผาไหม้ และการจุดระเบิดของ หัวเทียน โดยมี อีซียู (สมองกล ) เป็นตัวคำนวณให้หัวฉีด ฉีดเชื้อเพลิงอย่างพอเหมาะเข้าไป ในห้องห้องเผาไหม้ โดยวิเคราะห์ร่วมกับเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ก่อนประมวลผล เมื่อน้ำมันผสมคลุกเคล้ากับไอดีจนได้ที่ หัวเทียน จะเป็นตัวจุดระเบิดประกายไฟแรงสูง ตามจังหวะการสั่งของ อีซียู จนเครื่องยนต์ติด ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์ส่งผลให้รถเคลื่อนที่ไปได้
เทคนิคควรรู้
จริง ๆ แล้ว “หัวเทียน” ธรรมดา ๆ สามารถใช้งานได้ยาวนานกว่า 2 หมื่น กม.อย่างสบาย ๆ หากมีการปรับแต่งระยะเขี้ยวให้เหมาะสม อย่างสม่ำเสมอ แต่หากเขี้ยวสึกหรอมาก หรือฉนวนกระเบื้องแตกร้าว ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ ผู้ผลิตรถยนต์หลาย ๆ ยี่ห้อจึงตัดปัญหา ด้วยการแนะนำให้เปลี่ยนทุกๆ 2 หมื่นกม. ซึ่งออกจะสิ้นเปลืองเกินความจำเป็น ที่สำคัญหัวเทียนใหม่แกะกล่อง จะต้องถูกตั้งระยะห่างของเขี้ยวตามที่ผู้ผลิตเครื่องยนต์นั้น ๆกำหนดไว้ (ระยะห่างเขี้ยวหัวเทียนมาตรฐานประมาณ 0.6-0.8 มิลลิเมตร หรือ 0.024-0.031 นิ้ว) หากไม่ได้ระยะที่กำหนด หัวเทียนใหม่ ๆ อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนสู้หัวเทียนเก่าที่ถอดเปลี่ยนไม่ได้ด้วยซ้ำ
ส่วนหัวเทียน แพลตตินั่มและไอริเดียม ถูกออกแบบมาให้มีประสิทธิภาพสูงกว่าหัวเทียนธรรมดา โดยจะมีขั้วไฟฟ้ากลางที่ทำจากโลหะผสมแพลตตินั่มและไอริเดียม เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการจุดระเบิดสูงสุดและยังสามารถทนความร้อนได้ดี และสึกหรอน้อยกว่ารวมถึงมีราคาที่สูงกว่า หัวเทียนธรรมดา ผู้ผลิตจึงการันตี ว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 1 แสนกม. สำหรับรถที่ใช้น้ำมัน แต่สำหรับรถที่ดมแก๊ส-ก๊าซ ต้องตรวจสภาพตามระยะอย่างสม่ำเสมอ
สีหัวเทียนบอกสุขภาพเครื่องยนต์ได้
-หัวเทียนแห้ง คราบที่เกาะบริเวณเขี้ยวหัวเทียนมีสีน้ำตาลอ่อนๆ สภาพเช่นนี้ เป็นลักษณะของการเผาไหม้ ของเครื่องยนต์ที่สมบูรณ์แบบ สุขภาพเครื่องยนต์ การทำงานของระบบต่างๆ ยังอยู่ในสภาพปกติดี
-หัวเทียนมีคราบเขม่าสีขาว-สีเหลืองจับอยู่ ลักษณะเช่นนี้บอกให้รู้ว่า องศาการจุดระเบิดผิดเพี้ยน หรือที่เราเรียกกันว่า ไฟอ่อน การแก้ไข คือปรับตั้งองศาจานจ่ายใหม่ให้แก่ขึ้น และควรทำความสะอาดหรือเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ด้วย
-หัวเทียนมีสีดำแห้ง สามารถเช็ดออกได้ง่าย ลักษณะเช่นแสดงว่าส่วนผสมหนา (น้ำมันเชื้อเพลิง มีอัตราส่วนผสมที่มากเกินไป) คราบที่พบคือส่วนที่ตกค้างของละอองน้ำมันที่มากเกินกว่าความต้องการของเครื่องยนต์ การแก้ไขให้ช่างผู้ชำนาญ ตรวจเช็ค-ซ่อมระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง
-หัวเทียนแฉะน้ำมันเครื่อง บ่งบอกว่าเครื่องยนต์ เกิดการสึกหรอในกระบอกสูบ จนน้ำมันเครื่องเล็ดลอดเข้าสู่ห้องเผาไหม้ สาเหตุอาจเกิดจากแหวนลูกสูบ – กระบอกสูบสึกหรอ-ซีลไกด์วาล์วเสื่อมสภาพ
-หัวเทียนกร่อนและไหม้ แสดงว่าการทำงานของเครื่องยนต์ มีอุณหภูมิที่สูงเกินไป สาเหตุอาจเนื่องมาจากการเลือกใช้เบอร์ของหัวเทียนไม่เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน จนหัวเทียนไม่สามารถคายความร้อนออกสู่ภายนอกได้อย่างเหมาะสม หรือเกิดจากการชิงจุดระเบิด (PRE-IGNITION) อันเนื่องมาจากเครื่องยนต์มีอุณหภูมิร้อนจัด จนส่วนปลายเขี้ยวหัวเทียนระอุเป็นสีแดงเกือบหลอมละลาย
ก็ลองสังเกตกันดูนะครับว่าหัวเทียนรถยนต์ของท่านอยู่ในสภาพใด ถึงเวลาที่จะเปลี่ยนใหม่หรือยัง......
ขอบคุณข้อมูลจาก
บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด