มีคำถามจากผู้ใช้รถโตโยต้า วีออส ปี 2004 วิ่งมา 2.4 แสนกิโลเมตร มีเสียงดังที่หน้าเครื่อง เข้าอู่ตรวจเช็ค ช่างแจ้งว่า เสียงดังจากปั๊มน้ำ แต่เมื่อน้ำยังไม่รั่ว ก็ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน จึงอยากจะถามว่าเราควรเปลี่ยนปั๊มน้ำตอนไหน???
สำหรับคำถามดังกล่าวขอตอบว่า "ให้รีบเปลี่ยนเลยครับ" ทั้งนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตปั๊มน้ำระบุไว้ว่า ปั๊มน้ำหนึ่งตัวจะต้องทำหน้าที่หมุนเวียนน้ำถึง 1.7 ล้านลิตรในการใช้รถ 1 แสนกิโลเมตร เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว เราจึงควรหมั่นดูแลสุขภาพปั้มน้ำอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัยในทุกการเดินทาง
ปั๊มนํ้า (Water Pump) เป็นส่วนสำคัญของระบบระบายความร้อนในรถยนต์ มีหน้าที่หมุนเวียนน้ำจากเครื่องไปยังหม้อน้ำเพื่อระบายความร้อน ก่อนไหลกลับเข้าเครื่อง สำหรับการทำงานของปั๊มน้ำจะต้องอาศัยแรงจากเครื่องยนต์ผ่านสายพาน โดยมีลูกปืนมารองรับในการหมุน
อาการปั๊มน้ำเสียหาย
-ปั๊มน้ำรั่ว ส่วนใหญ่จะรั่วใน 2 จุดหลัก ๆ คือบริเวณซีลแกนปั้มน้ำ หรือที่ช่องระบายอากาศ (รูหายใจ) เมื่อปั๊มน้ำรั่วอาการเริ่มต้นที่สังเกตุไดคือน้ำในระบบหล่อเย็นจะค่อย ๆ หายไปเริ่มจากหายเล็กน้อย และจะเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อย ๆ
-ลูกปืนแตก/สึกหรอ ส่งผลให้ปั๊มน้ำมีเสียงดัง หมุนแบบแกว่งไม่ได้ศูนย์ โดยอาจส่งผลให้ชิ้นส่วนอื่น ๆ ของเครื่องยนต์เสียหายตามไปด้วย
เทคนิคควรรู้
-หมั่นตรวจสอบสายพานให้อยู่ในสภาพใช้งาน ไม่ฉีกขาด แตกร้าว และควรเปลี่ยนใหม่ทุก 4-6 หมื่นกิโลเมตร ไม่ควรตั้งสายพานตึงจนเกินไปเพราะจะส่งผลให้ลูกปืนปั้มน้ำรับภาระหนักและเสียหายก่อนเวลาอันควร
-เมื่อปั้มน้ำเกิดเสียงดังแสดงว่าลูกปืนแตกหรือสึกหรอ ให้รีบเปลี่ยนปั้มน้ำทันที แม้น้ำจะยังไม่รั่วซึมก็ตาม
-เมื่อพบว่าระดับน้ำหม้อน้ำ-หม้อพัก หล่อเย็น ใน ลดลงอย่างผิดปกติ ให้ติดและเร่งเครื่องยนต์ แล้วสังเกตุบริเวณซีลแกนปั้มน้ำ และ ช่องระบายอากาศ หากมีน้ำหยดหรือไหลออกมาแสดงว่าปั้มน้ำท่านกลับบ้านเก่าไปแล้วให้รีบเปลี่ยนทันที่
-ทิ้งความเชื่อเดิม ๆ ที่ว่าปั้มน้ำจะเปลี่ยนก็ต่อเมื่อเกิดรั่วซึมหรือ ชำรุดเสียหายเท่านั้น จริง ๆ แล้ว ผู้ผลิตรถยนต์แนะนำให้ตรวจเช็คสภาพทุกครั้ง เมื่อเปลี่ยนสายพานไทม์มิ่งหรือ 1 แสนกิโลเมตรและควรเปลี่ยนปั้มน้ำทุก ๆ 2-2.5 แสนกิโลเมตร แม้จะยังใช้งานได้ปกติก็ตาม
ขอบคุณข้อมูลจาก : บริษัท มาสเตอร์ มอเตอร์ เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด